All posts by admin

สำหรับท่านใดที่ใช้งาน Windows มาสักพักแล้วรู้สึกว่า Windows ของเริ่มทำงานช้าลง ท่านอย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ใหม่ ท่านสามารถเพิ่มความเร็วเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับแต่งตามเคล็ดลับต่อไปนี้

ปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นตอนเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์

ตอนที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ จะมีโปรแกรมบางตัวเริ่มทำงานอัตโนมัติ ซึ่งทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง

วิธีปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็น

1. กด Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager
2. ไปที่แท็บ Startup
3. เลือกโปรแกรมที่ไม่จำเป็น และกด Disable

ปรับแต่ง Effect ภาพให้เบาลง

สำหรับ Windows นั้นมี Effect ภาพสวยงาม แต่บางครั้งก็ใช้ทรัพยากรเครื่องคอมพิวเตอร์มากเกินไป ก็จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง

วิธีปิด Effect ภาพ

1. เลือก Adjust for best performance หรือ ปรับแต่งเองโดยปิด Effect ที่ไม่ต้องการ
2. กด Windows + R แล้วพิมพ์ sysdm.cpl และกด Enter
3. ไปที่แท็บ Advanced → คลิก Settings ในหัวข้อ Performance

ล้างไฟล์ขยะด้วย Disk Cleanup

Windows นั้นมีไฟล์ชั่วคราว และไฟล์ขยะที่สะสมอยู่ ซึ่งอาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง

วิธีล้างไฟล์ขยะ

1. กด Windows + R แล้วพิมพ์ cleanmgr และกด Enter
2. เลือกไดรฟ์ที่ต้องการล้าง (เช่น C:)
3. เลือกประเภทไฟล์ที่ต้องการลบ (เช่น Temporary files, Recycle Bin) และกด OK

อัปเดต Windows และ Driver

Windows เวอร์ชันใหม่ ๆ มักมีการแก้ไข Bug และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอยู่เสมอ ซึ่งการแก้ไข Bug และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นไม่มากก็น้อย

วิธีอัปเดต Windows

1. ไปที่ Settings → Windows Update
2. คลิก Check for updates

วิธีอัปเดตไดรเวอร์

1. คลิกขวาที่อุปกรณ์ที่ต้องการอัปเดต → Update driver
2. กด Windows + X → เลือก Device Manager

สามารถซื้อ Windows ลิขสิทธิ์แท้ได้อย่างไร ?

สามารถซื้อ Windows ลิขสิทธิ์แท้ราคาถูกได้จาก Reseller ที่เป็น Partner กับ Microsoft เช่น เทคโนโลยีแลนด์ ซึ่งจะมีตารางแสดงราคา Windows แจ้งอยู่

ข้อมูลโดยสรุป

ท่านใดที่ใช้งาน Windows มาสักพักแล้วรู้สึกว่า Windows ของเริ่มทำงานช้าลง ท่านอย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ใหม่ ท่านสามารถเพิ่มความเร็วเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง โดยทำตามวิธีด้านบน

บทความที่เกี่ยวข้อง

• การอัพเดทจาก Windows 10 เป็น Windows 11
• เปรียบเทียบการใช้พื้นที่ของ Windows 10 และ Windows 11
• สิ่งใหม่ที่เห็นได้เฉพาะใน Windows 11
• Windows 11 Home vs Windows 11 Pro แตกต่างกันอย่างไร?
• วิธีการนำ Product Key Windows 11 ไปใช้งาน

บทความที่น่าสนใจ

Windows ลิขสิทธิ์แท้แบบซื้อขาด ราคาถูก เชื่อถือได้

สำหรับการนำ Key Product Windows 11 ไปใช้งาน สามารถทำได้ 2 กรณีดังนี้

กรณีที่ 1 นำ Key Product ไปใช้ตอนติดตั้ง Windows 11

มีขั้นตอนดังนี้

1. ดาวน์โหลด Windows 11 ISO จากเว็บไซต์ทางการของ Microsoft หรือ มี Windows 11 แบบ FPP จะมีตัวตั้งมาให้อยู่แล้ว
2. บูตเครื่องจากตัวติดตั้งที่เตรียมไว้
3. ระหว่างการติดตั้ง จะมีหน้าต่างให้ใส่ Product Key ให้กรอก Product Key
4. ทำตามขั้นตอนการติดตั้งจนเสร็จสิ้น

เมื่อติดตั้งเสร็จ Windows 11 จะทำการ Activate อัตโนมัติ หากProduct Key ถูกต้อง

กรณีที่ 2 ใส่ หรือ เปลี่ยน Product Key ใน Windows 11 ที่ใช้งาน หรือ ติดตั้งไว้แล้ว

หากต้องการใส่ Product Key ใหม่ หรือ ต้องการเปลี่ยน Product Key สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้

วิธีที่ใส่ Product Key ใหม่ หรือ เปลี่ยน Product Key โดยใช้ Settings

1. คลิก Start -> เลือก Settings
2. ไปที่ System -> เลือก Activation
3. คลิก Change Product Key
4. กรอก Product Key แล้วคลิก Next
5. คลิก Activate เพื่อเปิดใช้งาน

วิธีที่ใส่ Product Key ใหม่ หรือ เปลี่ยน Product Key โดยใช้ Command Prompt (CMD)

• กดปุ่ม Win + R พิมพ์ cmd แล้วกดปุ่ม Ctrl + Shift + Enter เพื่อเปิด Command Prompt แบบ Administrator
• พิมพ์คำสั่งนี้แล้วกด Enter (แทนที่ XXXXX-XXXXX-XXXXX-XXXXX-XXXXX ด้วย Product Key)

slmgr /ipk XXXXX-XXXXX-XXXXX-XXXXX-XXXXX

• พิมพ์คำสั่งนี้แล้วกด Enter เพื่อทำการเปิดใช้งาน Windows

slmgr /ato

วิธีตรวจสอบสถานะการ Activate ของ Product Key

สำหรับการตรวจสอบสถานะการ Activate ของ Product Key สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้

ตรวจสอบโดยเข้าไปที่ Settings

เข้าไปที่ Settings -> System -> Activation และดูสถานะของ Product Key

ตรวจสอบโดยใช้ Command Prompt (CMD)

เข้าไปที่ Command Prompt (CMD) แล้วพิมพ์คำสั่งนี้แล้วกด Enter และดูสถานะของ Product Key

slmgr /xpr

ข้อควรระวัง

• Product Key ต้องเป็นของแท้ และตรงกับประเภทของ Windows 11 ที่ใช้งาน
• ถ้า Product Key ใช้ไม่ได้ ให้ลองเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และลองใหม่อีกครั้ง
• หากซื้อ Product Key จากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ อาจเป็น Product Key ปลอม และไม่สามารถ Activate ได้

สามารถซื้อ Windows ลิขสิทธิ์แท้ได้อย่างไร ?

สามารถซื้อ Windows ลิขสิทธิ์แท้ราคาถูกได้จาก Reseller ที่เป็น Partner กับ Microsoft เช่น เทคโนโลยีแลนด์ ซึ่งจะมีตารางแสดงราคา Windows แจ้งอยู่

บทความที่เกี่ยวข้อง

• การเลือกใช้งาน Windows สำหรับองค์กร
• การอัพเดทจาก Windows 10 เป็น Windows 11
• เปรียบเทียบการใช้พื้นที่ของ Windows 10 และ Windows 11
• สิ่งใหม่ที่เห็นได้เฉพาะใน Windows 11
• Windows 11 Home vs Windows 11 Pro แตกต่างกันอย่างไร?

บทความที่น่าสนใจ

Windows 11 เป็นระบบปฏิบัติการจาก Microsoft ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ทันสมัย และมีให้เลือกใช้งานหลากหลายรูปแบบที่มีจำหน่ายจากตัวแทนจำหน่ายต่างๆ โดยสองรุ่นหลักที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Windows 11 Home และ Windows 11 Pro

ผู้ใช้หรือผู้ที่สนใจที่จะสั่งซื้อ Windows 11 อาจสงสัยว่า Windows 11 Home และ Windows 11 Pro ต่างกันอย่างไร และควรเลือกเวอร์ชันไหนให้เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเอง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจข้อแตกต่างหลัก ๆ ของทั้ง 2 Product นี้

Windows 11 Home คืออะไร?

Windows 11 Home เป็นเวอร์ชันมาตรฐานที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป เหมาะสำหรับการใช้งานตามชื่อของProduct คือการใช้งานในบ้าน เช่น การเล่นเกมทั่วไป ท่องเว็บ ดูหนัง และทำงานเอกสาร มาพร้อมฟีเจอร์พื้นฐานทั้งหมดของ Windows 11 ทั้งหมด พร้ามหน้าต่างที่ใช้งานได้ง่าย

Windows 11 Pro คืออะไร?

Windows 11 Pro เป็นเวอร์ชันที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ในอุสาหกรรมโดยเฉพาะภาคธุรกิจและองค์กร ซึ่งมีความสามารถด้านความปลอดภัย การบริหารจัดการอุปกรณ์ และการทำงานร่วมกันในองค์กร มีฟังก์ชันทุกอย่างของ Windows 11 Home และมีเพิ่มเติมมากกว่าตัว Home

Windows 11 Home vs Windows 11 Pro: เปรียบเทียบความแตกต่าง

Windows 11 Home และ Windows 11 Pro เป็นสองเวอร์ชันหลักของระบบปฏิบัติการ Windows 11 ที่ Microsoft เปิดตัว ซึ่งทั้งสองเวอร์ชันมีจุดเด่นและฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ที่หลากหลาย

ตารางเปรียบเทียบ Windows 11 Home และ Windows 11 Pro

สามารถซื้อ Windows ลิขสิทธิ์แท้ได้อย่างไร ?

สามารถซื้อ Windows ลิขสิทธิ์แท้ราคาถูกได้จาก Reseller ที่เป็น Partner กับ Microsoft เช่น เทคโนโลยีแลนด์ ซึ่งจะมีตารางแสดงราคา Windows แจ้งอยู่

ข้อมูลโดยสรุป

Windows 11 Home และ Windows 11 Pro มีพื้นฐานที่คล้ายกัน แต่ Windows 11 Pro จะมีฟีเจอร์ที่เหมาะกับการทำงานระดับองค์กรและการจัดการอุปกรณ์มากขึ้น ในขณะที่ Windows 11 Home จะเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปหากคุณเป็นผู้ใช้ทั่วไป Windows 11 Home จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ถ้าคุณต้องการความปลอดภัยที่สูงขึ้นในการทำหรือเก็บข้อมูลทางธุรกิจ Windows 11 Pro จะตอบโจทย์มากกว่า

บทความที่เกี่ยวข้อง

• จุดเด่นของ Windows 11
• การเลือกใช้งาน Windows สำหรับองค์กร
• การอัพเดทจาก Windows 10 เป็น Windows 11
• เปรียบเทียบการใช้พื้นที่ของ Windows 10 และ Windows 11
• สิ่งใหม่ที่เห็นได้เฉพาะใน Windows 11

บทความที่น่าสนใจ

Windows 11 มาพร้อมกับคุณสมบัติ และการออกแบบใหม่ ๆ ที่แตกต่างจาก Windows 10 หลายด้าน ทั้งการใช้งาน และรูปลักษณ์ และนี่คือคุณสมบัติเด่นที่มีเฉพาะใน Windows 11

ดีไซน์ และอินเทอร์เฟซแบบใหม่

หน้าตาโดยรวมของ Windows 11 ถูกปรับให้ทันสมัยขึ้น คล้ายกับสไตล์ของ macOS และ Chrome OS โดยมีการจัดตำแหน่งเมนู Start และ Taskbar ไว้ตรงกลาง โดยการออกแบบไอคอน และหน้าต่างแบบใหม่ ที่มีขอบโค้งมน

Widgets และการรวมฟีดข้อมูล

Windows 11 มีการเพิ่มส่วน “Widgets” ที่จะแสดงข้อมูลที่สนใจ เช่น สภาพอากาศ ข่าวสาร ปฏิทิน และข้อมูลการใช้งานอื่น ๆ ไว้บนเดสก์ท็อป ให้ผู้ใช้งานได้ดูได้อย่างสะดวก

ฟีเจอร์ Snap Layouts และ Snap Groups

ช่วยให้ผู้ใช้งานจัดหน้าต่างหลาย ๆ แอปพลิเคชันบนหน้าจอได้ง่ายขึ้น และมีตัวเลือกการจัดวางหลากหลายให้เลือก

การปรับปรุง Microsoft Store

Microsoft Store บน Windows 11 ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด และรองรับแอปพลิเคชันแบบ Win32, .NET, UWP รวมถึง Progressive Web Apps (PWA) ได้มากขึ้น

รองรับแอป Android

หนึ่งในฟีเจอร์ที่หลายคนรอคอย คือ Windows 11 สามารถ Run แอป Android ได้โดยตรงผ่าน Microsoft Store (ทำงานร่วมกับ Amazon Appstore) แม้จะยังอยู่ในช่วงทดลอง และไม่ได้รองรับทุกแอปก็ตาม

ประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีขึ้น

Windows 11 มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับการเล่นเกม เช่น DirectStorage ซึ่งช่วยให้เกมโหลดเร็วขึ้น และ Auto HDR ที่ทำให้กราฟิกมีความคมชัด และมีสีสันสดใสมากขึ้น

การปรับปรุงประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน

Windows 11 มีการปรับแต่งเพื่อให้การทำงานรวดเร็วขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และเหมาะกับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น Laptop รุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้โปรเซสเซอร์ล่าสุด

Microsoft Teams แบบฝังตัว

Windows 11 ได้รวม Microsoft Teams ไว้ในระบบปฏิบัติการเลย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสื่อสาร และทำงานร่วมกันได้สะดวกขึ้น

การปรับปรุงด้านความปลอดภัย

มีการยกระดับการรักษาความปลอดภัย ทั้งในด้านการเข้าสู่ระบบ และการป้องกันข้อมูล โดย Windows 11 ต้องการอุปกรณ์ที่รองรับ TPM 2.0 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

การปรับปรุงการใช้งานหลายจอ (Multiple Monitors)

Windows 11 จะจำการตั้งค่าหน้าจอเมื่อเชื่อมต่อกับหน้าจอภายนอก ทำให้การจัดเรียงหน้าต่างกลับมาเหมือนเดิมเมื่อเชื่อมต่อหน้าจออีกครั้ง

ข้อมูลโดยสรุป

จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ช่วยให้ Windows 11 มีประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายในการใช้งานมากขึ้น เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปไปจนถึงระดับมืออาชีพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

• ทำไมต้อง Windows 11 ?
• จุดเด่นของ Windows 11
• การเลือกใช้งาน Windows สำหรับองค์กร
• การอัพเดทจาก Windows 10 เป็น Windows 11
• เปรียบเทียบการใช้พื้นที่ของ Windows 10 และ Windows 11

บทความที่น่าสนใจ

การใช้พื้นที่ของ Windows 10 และ Windows 11 นั้นจะมีความแตกต่างที่สำคัญบางประการ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการจัดเก็บไฟล์ และฟีเจอร์ที่มีในแต่ละเวอร์ชั่น โดยมีรายละเอียดดังนี้

ความต้องการพื้นที่ขั้นต่ำ

• Windows 10 – ต้องการพื้นที่ขั้นต่ำประมาณ 16 GB สำหรับระบบ 32-bit และ 20 GB สำหรับระบบ 64-bit
• Windows 11 – ต้องการพื้นที่ขั้นต่ำมากขึ้น โดยอยู่ที่ประมาณ 64 GB สำหรับทั้งระบบ 32-bit และ 64-bit

พื้นที่ที่ใช้งานจริงหลังการติดตั้ง

• Windows 10 – พื้นที่หลังการติดตั้งอยู่ในช่วง 15-25 GB ขึ้นอยู่กับการอัปเดตที่ติดตั้ง
• Windows 11 – พื้นที่หลังการติดตั้งอยู่ในช่วง 25-30 GB เนื่องจากระบบ และฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Widgets และ DirectStorage

การอัปเดต และการจัดการระบบ

• Windows 10 – มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ แต่จะเน้นการอัปเดตด้านความปลอดภัยมากกว่า
• Windows 11 – อัปเดตด้านระบบให้มีการจัดการที่ดีขึ้น และจัดเก็บไฟล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ทำให้การอัปเดตไม่ต้องใช้พื้นที่เพิ่มมากนัก

การจัดเก็บ และการจัดการแอปพลิเคชัน

• Windows 10 – แอปที่มาพร้อมกับระบบบางแอปสามารถถอดออกได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับ Windows 11
• Windows 11 – มีแอปพลิเคชั่นที่ฝังอยู่ในระบบเพิ่มขึ้น เช่น Microsoft Teams และ Widgets ซึ่งอาจใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

การใช้พื้นที่ และความจุ RAM

• Windows 10: ความต้องการ RAM ขั้นต่ำอยู่ที่ 1 GB (32-bit) และ 2 GB (64-bit)
• Windows 11: ความต้องการ RAM ขั้นต่ำคือ 4 GB สำหรับทุกระบบ

ข้อมูลโดยสรุป

จากข้อมูลด้านบนจะเห็นได้ว่า Windows 11 ใช้พื้นที่มากกว่า Windows 10 เนื่องจาก Windows 11 มีการพัฒนา และเพิ่มฟีเจอร์ที่มากขึ้นทำให้ต้องการพื้นที่มากกว่า Windows 10 แต่สิ่งที่เพิ่มมารับรองได้ว่าคุ้มค่ากับการใช้พื้นที่เพิ่มแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้อง

• ทำไมต้อง Windows 11 ?
• จุดเด่นของ Windows 11
• การเลือกใช้งาน Windows สำหรับองค์กร
• การอัพเดทจาก Windows 10 เป็น Windows 11
• ถ้าสเปคเครื่องคอมไม่ถึงขั้นต่ำสามารถใช้งาน Windows 11 ได้ไหม ?

บทความที่น่าสนใจ